สรุปร่าง เหตุผลของศาลรัฐธรรมนูญว่าทำไม พ.ร.บ.ประชามติฯ ถึงไม่ขัดรัฐธรรมนูญ

ในเอกสารคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญระว่า การจำกัดเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นสามารถทำได้ เพียงแต่ต้องอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย และต้องกระทำเท่าที่จำเป็น โดยไม่กระทบกระเทือนสาระสำคัญแห่งสิทธิและเสรีภาพ รวมถึง ต้องมีผลใช้บังคับเป็นการทั่วไป และไม่มุ่งหมายให้ใช้บังคับแก่กรณีใดกรณีหนึ่งหรือแก่บุคคลใดบุคลลหนึ่งเป็นการเจาะจง 
 
ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่า "พ.ร.บ.ประชามติฯ" สอดคล้องกับหลักการดังกล่าว โดยมีคำอธิบายดังนี้
 
1) การออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2559 มีลักษณะพิเศษที่รัฐต้องคอยกำกับดูแล
 
ศาลรัฐธรรมนูญอ้างว่า ถึงแม้การออกเสียงประชามติ ประชาชนจะต้องมีโอกาสรณรงค์แข่งขันโน้มน้าวสาธารณชนได้อย่างเท่าเทียมกัน รวมทั้งเปิดพื้นที่ให้ทุกฝ่ายแสดงความคิดเห็นได้อย่างกว้างขวาง แต่ถ้าดูการออกเสียงประชามติใน "นานาประเทศ" โดยเฉพาะประเทศที่มีวิกฤตการณ์ทางการเมืองภายในประเทศ หรือระบบการเมืองล้มเหลว จนต้องอยู่ภายใต้การควบคุมอำนาจการปกครองอย่างเป็นทางการโดยรัฐบาลเฉพาะกาล จะพบว่า 
 
"รัฐจะมีบทบาทในการกำกับควบคุมการจัดการออกเสียงประชามติตั้งแต่การกำหนดสาระสำคัญของประเด็นคำถาม การรณรงค์เผยแพร่ข้อมูล รวมถึงการกำหนดกติกาการจัดการออกเสียงประชามติ"
 
ซึ่งการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ 2559 ก็ถือเป็นการออกเสียงประชามติที่เกิดขึ้นภายหลังวิกฤตการณ์ทางการเมือง หรือระบบการเมืองล้มเหลว และการออกเสียงประชามติก็เป็นไปตามรัฐธรรมนูญชั่วคราวฯ โดยมี "พ.ร.บ.ประชามติฯ" เป็นกฎหมายที่ใช้ควบคุมการออกเสียงประชามติไม่ให้ถูกบิดเบือน หรือถูกบังคับ ข่มขู่ จูงใจจากฝ่ายต่างๆ และถือเป็นการก่อความวุ่นวายเพื่อให้การออกเสียงประชามติไม่เป็นไปด้วยความเรียบร้อยหรือดำเนินการต่างๆ ที่จะทำให้การออกเสียงประชามติไม่เป็นไปโดยความสุจริตและเที่ยงธรรม
 
2) "รุนแรง-ก้าวร้าว-หยาบคาย-ปลุกระดม-ข่มขู่" ไม่ใช่ถ้อยคำที่คลุมเครือ แค่ไม่เฉพาะเจาะจง
 
เนื่องจากประเด็นที่ผู้ยื่นคำร้องระบุว่า บทบัญญัติว่าด้วยลักษณะการกระทำความผิด เช่น คำว่า "รุนแรง" "ก้าวร้าว" "หยาบคาย" "ปลุกระดม" หรือ "ข่มขู่" ทำให้คนไม่รู้ขอบเขตในการใช้สิทธิเสรีภาพ ไม่รู้ว่าการกระทำใดบ้างเป็นความผิด เพราะคำดังกล่าวขาดความชัดเจนและไม่เคยถูกนิยามในกฎหมายใดมาก่อน 
 
ในประเด็นนี้ ศาลรัฐธรรมนูญอ้างว่า ในบางกรณีกฎหมายอาญาอาจจะใช้ถ้อยคำที่ชัดเจนแต่มีความหมายไม่เฉพาะเจาะจงก็ได้ เพื่อให้ผู้ใช้กฎหมายสามารถพิจารณาพฤติการณ์ของการกระทำประกอบกับถ้อยคำตามองค์ประกอบความผิดเพื่อให้ได้ความหมายที่ถูกต้องตรงตามเจตนารมณ์ ยกตัวอย่างเช่น คำว่า "กลางคืน" เพราะคำดังกล่าวก็มีความชัดเจนแต่มีความหมายไม่เฉพาะเจาะจง ไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นเวลาใดแน่นอน ต้องพิจารณาในขณะกระทำอีกว่าในวันนั้นพระอาทิตย์ตกและขึ้นตอนกี่นาฬิกา เป็นต้น ซึ่งถ้อยคำที่ใช้ใน พ.ร.บ.ประชามติฯ เป็นลักษณะดังกล่าวนี้
 
ศาลรัฐธรรมนูญเพิ่มเติมอีกว่า การใช้ถ้อยคำเหล่านี้มีเหตุผลในการคุ้มครองสิทธิ เสรีภาพ หรือความเป็นอยู่ส่วนตัวของบุคคลอื่น เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือเพื่อป้องกันหรือระงับความเสื่อมทราบทางจิตใจ อีกทั้ง การให้ข้อมูลที่ถูกต้องการใช้ถ้อยคำที่สุภาพ ไม่รุนแรง ไม่ก้าวร้าว ไม่หยาบคาบ แสดงความเป็นสุภาพชนในพื้นที่สาธารณะย่อมจะส่งผลให้เกิดความรู้สึกที่ดีต่อประชาชนที่รับรู้ข้อมูลข่าวสารที่เผยแพร่ออกไป ทำให้มีทัศนคติที่เป็นมิตรต่อกัน ไม่มีความขุ่นข้องหมองใจหรือบาดหมาง ซึ่งแสดงถึงบรรยากาศแห่งความปรองดองสมานฉันท์ในหมู่ประชาชน อันมีผลต่อความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองโดยรวม
 
นอกจากนี้ ศาลยังระบุอีกว่า ถ้าเกิดปัญหาการใช้อำนาจของเจ้าหน้าที่ของรัฐที่อาจตีความขยายขอบเขตของถ้อยคำดังกล่าวจนอาจเป็นการใช้อำนาจโดยมิชอบและไม่เป็นธรรมแก่ประชาชน บุคคลผู้ได้รับผลกระทบจากการใช้อำนาจโดยมิชอบดังกล่าว ย่อมฟ้องร้องต่อศาลที่มีเขตอำนาจในเรื่องนั้นๆ ได้
 
3) กฎหมายเป็นการจำกัดเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นเพียงเท่าที่จำเป็น เพราะคนยังแสดงความคิดเห็นได้แต่มีเงื่อนไขตามกฎหมายนี้
 
ศาลรัฐธรรมนูญอ้างว่า กฎหมายไม่ได้ห้ามการแสดงความคิดเห็นหรือเผยแพร่ความคิดเห็นเกี่ยวกับการออกเสียงประชามติ เพราะบุคคลย่อมมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญได้ เพียงแต่ ต้องเป็นการใช้เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญจะต้องเป็นไปโดยสุจริต ภายใต้กรอบของกฎหมาย
 
อีกทั้ง การแสดงความคิดเห็นดังกล่าวจะต้องไม่มีเจตนามุ่งหวังเพื่อให้ผู้มีสิทธิออกเสียงไม่ไปใช้สิทธิออกเสียง หรือออกเสียงอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือไม่ออกเสียง รวมถึงจะต้องไม่เข้าลักษณะเป็นการก่อความวุ่นวาย หรือกระทบต่อความสงบสุขและความปลอดภัยของสังคมโดยรวม 
 
ดังนั้น ศาลรัฐธรรมนูญจึงวินิจฉัยว่า การจำกัดเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นตามกฎหมายดังกล่าวจึงเป็นไปเพียงเท่าที่จำเป็นไม่กระทบกระเทือนต่อสาระสำคัญแห่งเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น