กรมชลประทานเตรียมเสนอรัฐบาลเดินหน้าโครงการผันน้ำจากแม่น้ำยวมเข้าเขื่อนภูมิพล และโครงการสูบน้ำแม่น้ำโขง – เลย – ชี – มูล วงเงินลงทุน 2.2 ล้านล้านบาท เพื่อแก้ปัญหาขาดแคลนน้ำระยะยาว ทั้งสองโครงการนี้ กรมชลฯ ได้เสนอมาหลายรัฐบาล โดยเฉพาะในช่วงที่ประเทศเผชิญกับภัยแล้ง และเกิดปัญหาขาดแคลนน้ำเพื่อใช้ในการเกษตรและอุปโภคบริโภค แต่ที่ผ่านมาถูกคัดค้านจากองค์กรพัฒนาเอกชนด้านสิ่งแวดล้อมและชาวบ้านในพื้นที่ ทำให้รัฐบาลไม่สามารถผลักดันได้ อีกทั้งโครงการดังกล่าวใช้เงินลงทุนค่อนข้างมาก รัฐบาลก่อนหน้านี้จึงไม่สามารถดำเนินโครงการได้ มีเพียงผลการศึกษาความเหมาะสมเท่านั้น
รัฐบาลของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในยุคคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กำหนดยุทธศาสตร์การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ซึ่งมีพล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลป์ยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธาน โดยมีเป้าหมายเพื่อแก้ไขปัญหาทรัพยากรน้ำอย่างเบ็ดเสร็จ เป้าหมายเพื่อสร้างโอกาสการเข้าถึงน้ำของทุกภาคส่วน และการใช้ประโยชน์จากน้ำตามศักยภาพของลุ่มน้ำ
โครงการเติมน้ำเขื่อนภูมิพล และโครงการโขง – เลย – ชี – มูล มีความเป็นไปได้ที่จะดำเนินการ นายกฯ จึงสั่งให้เป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องเกิดขึ้นภายในรัฐบาลนี้ หรือเป็นโครงการปีงบประมาณ 2558-2559 การดำเนินทั้ง 2 โครงการจะเป็นระบบการผันน้ำ โดยสูบน้ำมาเก็บไว้ในระบบท่อ และหมุนเวียนเหมือนระบบโลหิต
โครงการเติมน้ำในเขื่อนภูมิพล จะเป็นการผันน้ำจากแม่น้ำยวมซึ่งเป็นลุ่มของแม่น้ำสาละวิน มีต้นน้ำจากเทือกเขาที่อ.ขุนยวม จ.แม่ฮ่องสอน ปีละ 2,000 ล้านลูกบาสก์เมตร (ลบ.ม.) การผันน้ำจะดำเนินการที่อ.สบเมย จ.แม่ฮ่องสอน ลงเขื่อนภูมิพล ที่อ.ฮอด จ.เชียงใหม่ ระยะทาง 61 กม. โดยมีภูมิประเทศและการไหลของน้ำที่ผ่านเขตประเทศไทย ไม่เกี่ยวข้องกับประเทศเพื่อนบ้าน
โครงการโขง – เลย – ชี – มูล จะมีการสูบน้ำจากจังหวัดเลยเข้ามาใช้ในภาคอีสาน ผ่านท่อขนาดใหญ่ 2 ขนาด คือกว้าง 10 ม. ยาว 50 กม. จำนวน 1 ท่อ และท่อกว้าง 10 ม. ยาว 80 กม. จำนวน 1 ท่อ เพิ่มน้ำเข้ามาประมาณ 40,000 ล้าน ลบ.ม. คาดว่าจะสามารถเพิ่มพื้นที่ชลประทานในภาคอีสานได้อีก 30 ล้านไร่ ให้มีน้ำเพียงพอ พัฒนาอุตสาหกรรม การบริการ การท่องเที่ยว และสร้างงาน เชื่อว่าจะสามารถแก้ปัญหาคนอีสานย้ายเข้ามาหางานทำในเมืองหลวงได้ โดยการดำเนินโครงการโขงฯ จะสูบน้ำจากจุดที่เป็นแหล่งน้ำของไทย ไม่เกี่ยวข้องกับน้ำนานาชาติ
ที่มา หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 13 มิถุนายน 2558
ที่มาภาพ Asian Development Bank
แสดงความเห็น