ในร่างรัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. 2558 ได้มีการควบรวม “คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ” กับ “ผู้ตรวจการแผ่นดิน” เข้าด้วยกัน เกิดเป็นองค์กรใหม่คือ “ผู้ตรวจการแผ่นดินและพิทักษ์สิทธิมนุษยชน” ซึ่งมีทั้งเสียงที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ฝ่ายที่เห็นด้วยมองว่า การควบรวมจะช่วยประหยัดงบประมาณ เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้ทั้งสององค์กรและช่วยลดการทำงานที่ซ้ำซ้อนกัน ขณะที่ฝ่ายไม่เห็นด้วยเชื่อว่าการควบรวมจะไม่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน เพราะทั้งสององค์กรมีหน้าที่และกระบวนการทำงานต่างกัน และจะทำให้ประชาชนเหลือช่องทางร้องเรียนแค่ช่องเดียว
สำหรับคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติและผู้ตรวจการแผ่นดินนั้น เกิดขึ้นครั้งแรกในฐานะองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 และหลังจากการประกาศใช้บังคับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติมีฐานะเป็นองค์กรอื่นตามรัฐธรรมนูญ ส่วนผู้ตรวจการแผ่นดินมีฐานะเป็นองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ
ทั้งสององค์กรมีหน้าที่คล้ายกันคือตรวจสอบถ่วงดุลการใช้อำนาจรัฐ โดยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนฯ มีหน้าที่ตรวจสอบและรายงานการกระทำที่เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน หรือการกระทำที่ไม่เป็นไปตามพันธกรณีระหว่างประเทศเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนที่ประเทศไทยร่วมเป็นภาคี รวมทั้งกรณีการละเมิดจากภาคเอกชนด้วย ขณะที่ผู้ตรวจการแผ่นดินมีบทบาทหน้าที่ในการตรวจสอบและรายงานข้อร้องเรียนการละเมิดสิทธิ เสรีภาพของประชาชนจากการใช้อำนาจของเจ้าหน้าที่รัฐ โดยเน้นทำหน้าที่นี้เมื่อประชาชนถูกกระทบจากการปฏิบัติหน้าที่ของฝ่ายบริหารหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ สิ่งที่ต่างกันคือคณะกรรมการสิทธิฯ สามารถฟ้องคดีต่อศาลยุติธรรมแทนผู้เสียหายได้แต่ผู้ตรวจการแผ่นดินไม่มีอำนาจทำได้
ภาพจาก http://www.springnews.co.th/politics/182953
อย่างไรก็ตาม เมื่อควบรวมทั้งสององค์กรเป็น “ผู้ตรวจการแผ่นดินและพิทักษ์สิทธิมนุษยชน” จะมีกรรมการจำนวน 11 คน ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งตามคำแนะนำของวุฒิสภา จากผู้มีความรอบรู้และประสบการณ์ในการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน การบริหารราชการแผ่นดินหรือกิจกรรมอันเป็นประโยชน์ร่วมกันของสาธารณะ และมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ โดยมีอำนาจหน้าที่ตามมาตรา 276 ดังนี้
1. ตรวจสอบและรายงานการกระทำที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือไม่เป็นไปตามพันธกรณีระหว่างประเทศเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนที่ประเทศไทยเป็นภาคี และเสนอมาตรการเพื่อแก้ไขต่อบุคคลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
2. พิจารณาและสอบหาข้อเท็จจริงตามคำร้องเรียนในกรณีที่เจ้าหน้าที่รัฐ องค์กรตามรัฐธรรมนูญที่ตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐหรือองค์กรในกระบวนการยุติธรรมไม่ปฏิบัติตามกฎหมายหรือปฏิบัตินอกเหนืออำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย และก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชน
3. เสนอเรื่องพร้อมความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญว่าบทบัญญัติกฎหมายใดมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ
4. เสนอเรื่องพร้อมความเห็นต่อศาลปกครองว่ากฎ คำสั่ง หรือการกระทำอื่นใด กระทบต่อสิทธิมนุษยชน หรือการกระทำของข้าราชการ พนักงาน หรือลูกจ้างของหน่วยรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ มีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย
5. ฟ้องคดีต่อศาลยุติธรรมแทนผู้เสียหายเมื่อได้รับการร้องขอจากผู้เสียหายและเป็นกรณีที่เห็นสมควร เพื่อแก้ไขปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนเป็นส่วนรวม หรือเมื่อเห็นว่าเป็นประโยชน์สาธารณะ
6. เสนอแนะนโยบายและข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมายและกฎต่อรัฐสภาหรือคณะรัฐมนตรีเพื่อส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิของประชาชน
7. ส่งเสริมการศึกษา การวิจัย และการเผยแพร่ความรู้ด้านสิทธิและเสรีภาพของประชาชน
8. ส่งเสริมความร่วมมือและการประสานงานระหว่างหน่วยงานของรัฐ องค์การเอกชน และองค์การอื่นในด้านสิทธิมนุษยชน
9. รายงานต่อรัฐสภาเมื่อปรากฏว่าหน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐไม่ดำเนินการในเรื่องใดเรื่องหนึ่งตามที่ผู้ตรวจการแผ่นดินและพิทักษ์สิทธิมนุษยชนเสนอ และให้เปิดเผยต่อสาธารณชน และให้รัฐสภาพิจารณาเรื่องโดยเร็ว
10. เสนอรายงานประจำปีพร้อมข้อสังเกตต่อคณะรัฐมนตรี สภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา และเปิดเผยต่อสาธารณะ
11. อำนาจหน้าที่อื่นตามที่กฎหมายบัญญัติ
ทั้งนี้ให้แบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบของผู้ตรวจการแผ่นดินและพิทักษ์สิทธิของประชาชนในการดำเนินการตามมาตรานี้ให้ชัดเจน กรณีใดต้องเป็นมติร่วมกันของผู้ตรวจการแผ่นดินและพิทักษ์สิทธิของประชาชนให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ
นอกจากนี้ให้มีการประเมินผลการปฏิบัติงานของผู้ตรวจการแผ่นดินและพิทักษ์สิทธิมนุษยชนเป็นประจำทุกปี โดยคณะกรรมการประเมินผลแห่งชาติ แล้วแจ้งให้ผู้ตรวจการแผ่นดินและพิทักษ์สิทธิมนุษยชนทราบ และประกาศผลการประเมินดังกล่าวให้ทราบเป็นการทั่วไป
แหล่งอ้างอิง: เว็บไซต์รัฐสภา, เว็บไซต์ประชามติ
แสดงความเห็น